สรุปสถานการณ์การลงทุน วันที่ 09/12/2019
09 Dec 2019 | 1314
- Deepscope Site Admin
Global Economy
[US-China Tension] จีนตอบโต้ US ในกรณีสหรัฐออกกฎหมายสนับสนุนการประท้วงในฮ่องกง โดยทางจีนใช้มาตรการคว่ำบาตรกลุ่ม NGOs ของสหรัฐอเมริกา (กลุ่ม the National Endowment for Democracy, Human Rights Watch และ Freedom House) ระงับการอนุญาตให้เรือรบสหรัฐเข้าเทียบท่าในประเทศ ทั้งนี้จีนพยายามเลี่ยงการตอบโต้ที่เกี่ยวเนื่องกับการเจรจาการค้า เป็นสัญญาณเชิงบวกถึงความตั้งใจตกลงการเจรจาการค้าทางฝั่งจีน
[Trade war] ประธานธิบดีสหรัฐระบุพิจารณาขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กและอลูมิเนียมจาก บราซิลและอาร์เจนตินา โดยให้เหตุผลว่า ทั้งสองประเทศทำให้สกุลเงินตัวเองอ่อนค่าเพื่อให้ได้เปรียบในการส่งออกสินค้า โดยเฉพาะการแข่งขันสินค้าเกษตร ถั่วเหลือง ที่ส่งไปยังประเทศจีน โดยสถานการณ์คือ ในปี 2018 สหรัฐได้เรียกเก็บภาษีการนำเข้าเหล็ก 25% และอะลูมิเนียม 10% ในหลายประเทศ แต่มีข้อยกเว้นสำหรับการนำเข้าจากบางประเทศรวมถึงบราซิลและอาร์เจนตินาด้วย ทั้งนี้ บราซิลเป็นผู้ส่งออกเหล็กรายใหญ่อันดับ 10 ของโลกและสหรัฐเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุด โดยสินค้าเหล็กมีสัดส่วนถึง 3.7% ของสินค้าทั้งหมดที่บราซิลส่งออกในปี 2018
[Trade war] สหรัฐระบุพิจารณาขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสำคัญของฝรั่งเศส มูลค่า 2.17 พันล้านเหรียญสหรัฐ ได้แก่ แชมเปญ, กระเป๋า ชีส เครื่องสำอางและสินค้าอื่น โดยขู่ขึ้นอัตราภาษี 100% กระทบต่อบริษัท LVMH, L'Oreal, Gruyere cheese เป็นการตอบโต้หากฝรั่งเศสบังคับใช้ภาษี Digital Service Tax เก็บอัตรา 3% ของรายได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบริษัทเทตโนโลยีในสหรัฐ
[Trade war] ประธานธิบดีทรัมป์ ระบุ ไม่รีบร้อนในการเจรจาระงับสงครามการค้า เฟส 1 ซึ่งสามารถเลื่อนไปจนถึงหลังเลือกตั้งสหรัฐในปี 2020 ได้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเกิดความกังวลชั่วคราว อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นเริ่มจับสัญญาณแปลความกลยุทธ์การขู่ของทรัมป์ได้ ตลาดหุ้นจึงยังคาดหวังว่าจะสามารถเจรจาการค้าได้ก่อนกำหนดการขึ้นภาษีในวันที่ 15 ธันวาคมนี้ ได้
[US Political] คณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฏรสหรัฐได้เปิดเผยรายงานภายใต้ชื่อว่า The Trump-Ukraine Impeachment Inquiry Report จำนวน 300 หน้า ที่สรุปว่าพบหลักฐานชี้ถึงการละเมิดกฎหมายและความพยายามในการกดดันผู้นำยูเครน ในส่วนกระบวนการถอดถอนประธานาธิบดี ต้องหารือในสภาผู้แทนฯ ซึ่งกระบวนการทั้งหมดจะต้องเสร็จก่อนวันที่ 20 ธันวาคม และหากสภาผู้แทนฯ ลงมติโหวตผ่านญัตติถอดถอนแล้ว เรื่องจะถูกส่งไปวุฒิสภาซึ่งมีพรรครีพับลิกกันครองเสียงข้างมากอยู่ ซึ่งเป็นไปได้ยากที่วุฒิสภาจะโหวตรับมติของสภาผู้แทนเรื่องการถอดถอนดังกล่าว
[US economy] ตลาดแรงงานสหรัฐยังคงแข็งแกร่งและตึงตัว โดยการจ้างงานเพิ่มสูงสุดนับตั้งแต่มกราคม และอัตราการว่างงานต่ำที่สุดนับแต่ปี 1969 และค่าแรงปรับขึ้น 3.1% สูงกว่าคาดการณ์
[China] ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนเดือน พ.ย. กลับมาอยู่ในโซนขยายตัวได้ที่ระดับ 50.2 จุด ในขณะที่ Caixin Manufacturing PMI ก็ขยายตัวได้ที่ระดับ 51.8 จุด จากปริมาณคำสั่งซื้อที่กลับมาฟื้นตัวขึ้น บ่งชี้ว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทางรัฐบาลช่วยให้ภาคการบริโภคขยายตัวขึ้นได้
[Japan] นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลัง มูลค่า 13 ล้านล้านเยนหรือ 119.66 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยรายละเอียดของแผนจะระบุในภายหลัง ทั้งนี้เพื่อประคองเศรษฐกิจภายหลัง Olmpic 2020 ที่จะจัดขึ้นในญี่ปุ่น
[Oil] ผู้ผลิตน้ำมันดิบทั้งในและนอกกลุ่มโอเปกปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 500,000 บาร์เรลต่อวัน ในช่วงเดือน ม.ค. 63 ถึง มี.ค. 63 เพื่อป้องกันไม่ให้ปริมาณน้ำมันดิบล้นตลาด โดยจะส่งผลให้ปริมาณการผลิตปรับลดรวมทั้งสิ้น 1.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นร้อยละ 1.7 ของกำลังการผลิตน้ำมันทั้งหมดในโลก
Thailand Economy
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มอบหมายให้กรมการค้าภายในเชิญผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้า สมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องรวม 50 ราย มาหารือเพื่อเตรียมจัดกิจกรรม “New Year Grand Sale ลดปัง ข้ามปี” ขึ้น เป็นระยะเวลา 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2562-12 มกราคม 2563 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและลดค่าครองชีพให้เป็นของขวัญปีใหม่กับประชาชน สำหรับเอกชนที่เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ ประกอบด้วย ห้างค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ 16 ราย และร้านค้าส่งค้าปลีกท้องถิ่น 7 ราย รวมประมาณ 20,000 แห่งทั่วประเทศ โดยจะนำสินค้าอุปโภค-บริโภคมาลดราคาจำหน่ายตั้งแต่ 10% ไปจนถึงสูงสุด 70% และมีผู้ประกอบการผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค 17 ราย เช่น หมวดอาหารและเครื่องดื่ม ลดราคาสูงสุด 40% หมวดของใช้ประจำวัน ลดราคาสูงสุด 50% และผู้ประกอบการยางรถยนต์ 8 ราย ร่วมลดราคาจำหน่ายสูงสุด 10-30%
คืนสิทธิ์ชิมช็อปใช้ให้ผู้ที่ไม่สามารถเริ่มใช้สิทธิ์ได้ทันภายใน 14 วัน ทั้งเฟสแรกและเฟส 2 จำนวนทั้งสิ้น 1.1 ล้านราย โดยจะสามารถใช้กระเป๋าเงินช่องที่ 2 ในแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ได้ตามเงื่อนไขที่ประกาศไปแล้ว อาทิ คืนเงินให้ 15% หากยอดใช้จ่ายไม่เกิน 30,000 บาท โดยประชาชนสามารถจับจ่ายใช้สอยได้ทุกจังหวัด รวมถึงจังหวัดที่อยู่ในภูมิลำเนาตัวเอง สิ้นสุดโครงการ 31 ม.ค.63
BYD เดินหน้าบุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทย ส่ง BYD M3 รถตู้ไฟฟ้าอเนกประสงค์, T3 รถตู้ไฟฟ้าสำหรับงานในเชิงพาณิชย์โดยเฉพาะ รุกตลาดโดย EV Society เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในรูปแบบยานยนต์ไฟฟ้า BYD ประเภทแบตเตอรี่ (BEV) มาใช้งานในเชิงพาณิชย์ โดยนำรถแท็กซี่ไฟฟ้าประเภทแบตเตอรี่ แบบ VIP จำนวน 90 คัน ให้บริการรับส่งผู้โดยสารเป็นรายแรกของไทย มีจุดให้บริการที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานดอนเมือง
รัฐบาลผลักดัน Grab Taxi ถูกกฎหมาย โดยเบื้องต้นวางกรอบต้องลงทะเบียนรถยนต์ โดยบริษัท Grab เป็นผู้รวบรวมข้อมูลให้กรมขนส่งตรวจสอบรองรับ และรถจะต้องผูกกับผู้ขับขี่ คือ รถ 1 คันต่อผู้ขับขี่ 1 คน
สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ขยายตัวชะลอลงต่อเนื่องในไตรมาสที่ 3 ขยายตัวเพียง 3.8%YOY จากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 4.2%YOY โดยพบว่าสินเชื่อธุรกิจ SME หดตัวลง 1% YOY ในไตรมาส 3 หนี้เสีย (NPL) ของระบบธนาคารพาณิชย์ยังคงมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจ SME ที่สัดส่วนหนี้เสียปรับเพิ่มขึ้นเร็วกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ สัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อยังคงเพิ่มขึ้น (จาก 2.95% ในไตรมาส 2 เป็น 3.01% ในไตรมาส 3) ทำให้ธนาคารพาณิชย์ระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น สินเชื่อจึงขยายตัวชะลอลง (จาก 4.2% ในไตรมาส 2 เป็น 3.8% ในไตรมาส 3)
กรอบการลงทุน
ดัชนี SET ณ สิ้นวันศุกร์ อยู่ที่ระดับ 1558.99 จุด จากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 1591.86 จุด ปรับตัว -2.06% ปรับลงทะลุกรอบแนวรับ 1570
คาดหวังแรงซื้อจากกองทุน LTF ซึ่งนักลงทุนจะซื้อกองทุนในช่วง 1-2 เดือนท้ายของปี พยุงดัชนีตลาดหลักทรัพย์
สภาพตลาดมีความผันผวนจากปัจจัยความไม่แน่นอนการเจรจาเพื่อข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
แนวต้านระยะสั้น คือ 1750, 1716, 1677, 1650, 1570 แนวรับระยะสั้นคือ 1545, 1525 (กรอบ Correction)
ในระยะกลาง แนวรับสำคัญมากคือ 1570+-10, และแนวต้านที่ 1770
ปัจจัยเชิงลบที่อาจส่งผลต่อเม็ดเงินลงทุนตลาดหุ้นไทยในระยะยาว ได้แก่ การทดแทนการทุน LTF ด้วยกองทุน SSF (Super Saving Fund) ซึ่งกองทุนสามารถลงทุนในหลักทรัพย์ได้ทุกประเภทนอกเหนือจากหุ้นไทย ซึ่งเดิม LTF กำหนดลงทุนในหุ้นไทยสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 65% ทำให้กองทุนอาจนำเม็ดเงินลงทุนของผู้ลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีไปลงทุนต่างประเทศแทนได้ แต่การปรับระยะเวลาถือครองจาก 7 ปีเป็น 10 ปี ส่งผลบวกต่อตลาด ทำให้เม็ดเงินสะสมในตลาดยาวนานขึ้น
ย้งคงต้องติดตามปัจจัยความไม่แน่นอนด้านสงครามการค้า, สภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งยึดโยงกับตราสาร CLO (Collateral Loan Obligation) และ สภาวะเศรษฐกิจและระบบการเงินจีน เป็นหลัก